พระราชทานเครื่องราชฯ ครู-นศ.ฝึกงาน ช่วยชีวิต นร.รถบัสไฟไหม้
เห็นๆ อยู่ว่ามีสัญญาณชีพ แต่ทำไมถึงกลายเป็นเคสดำ?
จากกรณีที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ประสบภัยติดอยู่ใต้ซากอาคารถล่ม และแม้กล้องตรวจจับความร้อนหรือเซนเซอร์ชีพจรจะแสดงให้เห็นว่ายังมี “สัญญาณชีพ” แต่กลับกลายเป็นว่าใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าจะเข้าถึงผู้ประสบเหตุ และสุดท้ายผู้ประสบภัยกลับเสียชีวิตก่อนการช่วยเหลือจะสำเร็จ
คำถามที่สังคมตั้งขึ้นก็คือ ทำไมในเมื่อ เห็นสัญญาณชีพอย่างชัดเจน ยังปล่อยให้เวลาผ่านไปจนคนๆ หนึ่งต้องกลายเป็น “เคสดำ” หรือ “ร่างไร้ชีวิต” ทั้งที่อาจจะมีโอกาสรอดได้?
สาเหตุของความล่าช้า
ข้อจำกัดของอุปกรณ์: แม้เทคโนโลยีตรวจจับชีพจรจะพัฒนาไปไกล แต่ก็ยังมีข้อจำกัด เช่น ความแม่นยำของภาพความร้อนในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยฝุ่น ความร้อน หรือวัตถุกีดขวาง
ขั้นตอนตามระบบราชการ: ในบางกรณี การเข้าถึงพื้นที่ต้องรอคำสั่งจากผู้มีอำนาจ หรือรอการประเมินความปลอดภัยก่อนจะเริ่มขุดค้น ซึ่งทำให้เสียเวลาไปอย่างมีนัยสำคัญ
บุคลากรไม่เพียงพอหรือขาดประสบการณ์: ในบางพื้นที่ บุคลากรกู้ภัยอาจขาดการฝึกฝนที่เข้มข้น หรือไม่มีประสบการณ์ในการตัดสินใจเร่งด่วน จึงเลือกทำตาม “ระเบียบ” แทนที่จะใช้ “วิจารณญาณ” เฉพาะหน้า
เสียงจากประชาชน
ชาวเน็ตจำนวนมากรู้สึกสะเทือนใจและไม่พอใจกับการสูญเสียที่อาจหลีกเลี่ยงได้ มีผู้แสดงความเห็นว่า “ถ้าเป็นคนในครอบครัวของเขา เขาจะยังปล่อยให้นอนรอแบบนั้นหรือเปล่า?” และอีกเสียงหนึ่งที่สะท้อนอารมณ์ของหลายคนคือ “ระบบช่วยคนช้าเกินไป แต่ความตายไม่รอใคร”
ต้องถึงเวลาปฏิรูป?
กรณีนี้เป็นอีกหนึ่งเสียงเตือนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงความจำเป็นในการ ปรับปรุงระบบการช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับ “สัญญาณชีวิต” ที่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของผู้ประสบเหตุ